สรุปเนื้อหาหนังสือ “The ONE Thing”
สรุปเนื้อหาหนังสือ The ONE Thing
บทนำ
ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวนและความสำคัญเร่งด่วนที่แข่งขันกัน คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง ในขณะที่บางคนกลับต้องดิ้นรนเพื่อก้าวหน้า บ่อยครั้ง ความแตกต่างไม่ได้อยู่ที่พรสวรรค์หรือทรัพยากร แต่เป็นความสามารถในการระบุและจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ พวกเราส่วนใหญ่มักจะพยายามทำทุกอย่างพร้อมกัน ทำให้รู้สึกหนักหนาและไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
เคล็ดลับสู่ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายนั้นเรียบง่ายอย่างน่าประหลาดใจ แต่ทรงพลังอย่างยิ่ง นั่นคือ การจดจ่อกับสิ่งเดียว (ONE Thing) ในแต่ละครั้ง เมื่อคุณมุ่งเน้นความพยายามไปที่งานที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างจะง่ายขึ้นหรือไม่จำเป็นเลย หลักการนี้ใช้ได้กับทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ ความสัมพันธ์ สุขภาพ และการเติบโตส่วนบุคคล ในหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีตัดเสียงรบกวน กำจัดสิ่งรบกวน และทุ่มเทพลังงานไปในสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไม่เพียงแค่ประสิทธิภาพการทำงานของคุณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแนวทางการเข้าถึงความสำเร็จทั้งหมดของคุณด้วย
บทที่ 1: ระบุสิ่งสำคัญที่สุดของคุณ
หัวใจสำคัญของความสำเร็จที่เหนือความคาดหมายคือความจริงพื้นฐานที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้สำคัญเท่ากัน คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเข้าใจหลักการนี้และใช้มันในชีวิตประจำวัน พวกเขารู้ว่าจากงาน ความรับผิดชอบ และเป้าหมายทั้งหมดของพวกเขา จะมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด นั่นคือ “ONE Thing” ของพวกเขา การจดจ่ออยู่กับสิ่งเดียวนี้จะกลายเป็นรากฐานสำหรับผลลัพธ์ที่โดดเด่นของพวกเขา
หลักการของการกระจายที่ไม่เท่ากันนั้นอธิบายได้ดีที่สุดด้วยกฎ 80/20 หรือที่เรียกว่าหลักการของพาเรโต กฎนี้ระบุว่าผลลัพธ์ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์มาจากการกระทำเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ ในธุรกิจ ลูกค้า 20 เปอร์เซ็นต์มักสร้างรายได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ในด้านประสิทธิภาพการทำงานส่วนบุคคล กิจกรรม 20 เปอร์เซ็นต์ของคุณสร้างผลลัพธ์ 80 เปอร์เซ็นต์ ความไม่เท่าเทียมกันนี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในชีวิตของเรา แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ตระหนักถึงความสำคัญของมัน แทนที่จะใช้ประโยชน์จากหลักการนี้ พวกเขากลับมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน และพยายามทำทุกอย่างพร้อมกัน
ลองพิจารณาเรื่องราวของผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งซึ่งกำลังดิ้นรนกับภาระงานที่ถาโถมเข้ามา แม้ว่าจะทำงานนานขึ้นและทำงานหลายอย่างพร้อมกันตลอดเวลา เขาก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังล้าหลัง จุดเปลี่ยนของเขาเกิดขึ้นเมื่อเขาค้นพบพลังของคำถามที่เน้นเป้าหมาย: “อะไรคือสิ่งเดียวที่ฉันสามารถทำได้ ซึ่งเมื่อทำแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะง่ายขึ้นหรือไม่จำเป็นเลย” คำถามนี้บังคับให้เขาต้องระบุสิ่งสำคัญที่สุดของเขาจากความต้องการที่แข่งขันกัน สำหรับเขา มันคือการพัฒนาบุคลากรหลัก 14 คนในองค์กรของเขา ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ “ONE Thing” นี้แต่เพียงอย่างเดียว ภายในสามปี บริษัทของเขามีการเติบโต 40 เปอร์เซ็นต์ต่อปีเป็นเวลาเกือบสิบปี
ในการนำหลักการนี้ไปใช้ในชีวิตของคุณ ให้เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบรายการสิ่งที่ต้องทำของคุณ แทนที่จะมองว่าเป็นชุดงานที่เท่าเทียมกัน ให้เปลี่ยนมันเป็นรายการความสำเร็จโดยใช้กฎ 80/20 ถามตัวเองว่ารายการใดในรายการของคุณที่จะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหากทำสำเร็จ จากนั้นจำกัดโฟกัสของคุณให้แคบลงไปอีก โดยถามว่าด้านใดของงานนั้นที่สำคัญที่สุด ทำเช่นนี้ต่อไปจนกว่าคุณจะระบุ “ONE Thing” ที่จะสร้างผลกระทบแบบโดมิโนของผลลัพธ์เชิงบวก
กุญแจสำคัญในการนำไปปฏิบัติคือการจัดสรรเวลาให้กับ “ONE Thing” ของคุณ และปกป้องเวลานั้นด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ ปฏิบัติต่อการนัดหมายนี้กับตัวเองอย่างศักดิ์สิทธิ์ สำคัญกว่าการประชุม การโทร หรืออีเมล เมื่อคุณทุ่มเทเวลาที่มุ่งเน้นไปที่สิ่งสำคัญที่สุดของคุณ คุณจะทำได้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลงกว่าที่คุณเคยคิดว่าเป็นไปได้
โปรดจำไว้ว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากการพยายามทำทุกอย่างพร้อมกัน แต่มันมาจากการทำสิ่งที่ถูกต้อง นั่นคือ “ONE Thing” ของคุณ ให้ดีเป็นพิเศษ เมื่อคุณจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างสม่ำเสมอ คุณจะสร้างแรงผลักดันที่พาคุณไปสู่ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายในทุกด้านของชีวิต
บทที่ 2: ฝึกฝนศิลปะแห่งการจัดสรรเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดสรรเวลา (Time Blocking) เป็นสุดยอดพลังในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งเปลี่ยนผู้ที่มีผลงานธรรมดาให้กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง โดยพื้นฐานแล้ว การจัดสรรเวลาหมายถึงการกำหนดช่วงเวลาที่เจาะจงในปฏิทินของคุณเพื่อทำงานกับ “ONE Thing” ของคุณแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสิ่งรบกวนหรือการขัดจังหวะใดๆ ทั้งสิ้น การปฏิบัตินี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การจัดการเวลาเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนอย่างมีกลยุทธ์ในสิ่งที่สำคัญที่สุด
เรื่องราวของนักเขียนนวนิยาย สตีเฟน คิง แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของการจัดสรรเวลา แม้ว่าจะมีตารางงานที่ยุ่ง คิงก็ยังคงจัดสรรเวลาสี่ชั่วโมงในทุกเช้าเพื่อเขียนหนังสือ ซึ่งเป็น “ONE Thing” ของเขา “ช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาของสิ่งใหม่ๆ นั่นคือ การประพันธ์ปัจจุบัน” คิงอธิบายในบันทึกความทรงจำของเขา “On Writing” ความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการปกป้องเวลาแห่งความคิดสร้างสรรค์ของเขา ทำให้เขาสามารถผลิตนวนิยายกว่า 60 เรื่อง และเรื่องสั้นอีกหลายร้อยเรื่องตลอดอาชีพการงานของเขา เมื่อมีคนบอกว่ามันเป็นเรื่องง่ายสำหรับคิงเพราะเขาประสบความสำเร็จอยู่แล้ว คำถามก็คือ “เขาเป็นสตีเฟน คิง เพราะเขาทำเช่นนี้ หรือเขาได้ทำเช่นนี้เพราะเขาเป็นสตีเฟน คิง” คำตอบนั้นชัดเจน การจัดสรรเวลาอย่างมีวินัยของเขามาก่อนและทำให้เขาประสบความสำเร็จ
สิ่งที่ทำให้การจัดสรรเวลามีประสิทธิภาพมากก็คือ มันช่วยให้ตารางเวลาของคุณสอดคล้องกับสิ่งที่คุณให้ความสำคัญ ปฏิทินของคนส่วนใหญ่มักจะเต็มไปด้วยเรื่องเร่งด่วนของคนอื่นอย่างรวดเร็ว ทำให้มีเวลาน้อยสำหรับการทำงานที่สำคัญของตนเอง วันทำงานทั่วไปจึงถูกครอบงำด้วยการประชุม อีเมล และการขัดจังหวะ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ค่อยมีส่วนช่วยให้เกิดความก้าวหน้าที่มีความหมาย ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่จัดสรรเวลาอย่างมีประสิทธิภาพจะเปลี่ยนรูปแบบนี้ โดยการจัดตารางเวลา “ONE Thing” ของพวกเขาก่อน แล้วจึงจัดสรรสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดรอบๆ สิ่งนั้น
ในการนำการจัดสรรเวลาที่มีประสิทธิภาพไปใช้ในชีวิตของคุณ ให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้: ขั้นแรก ระบุ “ONE Thing” ของคุณในแต่ละด้านที่สำคัญของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นงาน ความสัมพันธ์ สุขภาพ และการเติบโตส่วนบุคคล ประการที่สอง กำหนดว่าคุณต้องการเวลาเท่าใดในการสร้างความก้าวหน้าที่มีความหมายในแต่ละสิ่งที่คุณให้ความสำคัญ ประการที่สาม กำหนดช่วงเวลาเหล่านี้ในปฏิทินของคุณ โดยควรเป็นช่วงเวลาที่คุณมีพลังงานสูงสุด สำหรับคนส่วนใหญ่ นี่หมายถึงการจัดสรรเวลาอย่างน้อยสี่ชั่วโมงในตอนเช้าสำหรับการทำงานด้านอาชีพที่สำคัญที่สุด
สิ่งที่ท้าทายที่สุดของการจัดสรรเวลาคือการปกป้องการนัดหมายอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จากสิ่งรบกวนทั้งภายในและภายนอก สร้างสภาพแวดล้อมที่ปราศจากสิ่งรบกวน โดยการปิดการแจ้งเตือน ปิดประตู และสื่อสารความไม่พร้อมของคุณให้ผู้อื่นทราบ เมื่อมีคนพยายามจัดตารางเวลาทับช่วงเวลาที่คุณจัดสรรไว้ เพียงแค่บอกว่า “ขอโทษด้วย ฉันมีการนัดหมายในเวลานั้นแล้ว” และเสนอทางเลือกอื่น
โปรดจำไว้ว่าการจัดสรรเวลาเป็นทักษะที่พัฒนาขึ้นได้ด้วยการฝึกฝน ในช่วงแรกคุณจะต้องเผชิญกับการต่อต้าน ทั้งจากผู้อื่นที่ต้องการเวลาของคุณ และจากนิสัยการถูกรบกวนของคุณเอง จงมุ่งมั่นกับช่วงเวลาที่คุณจัดสรรไว้ และภายในไม่กี่สัปดาห์ คุณจะสัมผัสได้ถึงประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และความก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของคุณ
บทที่ 3: สร้างความสำเร็จด้วยวินัยในทุกๆ วัน
วินัยเป็นสิ่งที่ถูกเข้าใจผิดกันอย่างแพร่หลาย หลายคนเชื่อว่าความสำเร็จที่เหนือความคาดหมายต้องอาศัยวินัยที่เหนือมนุษย์ในทุกด้านของชีวิต ซึ่งเป็นความสามารถที่ไม่ธรรมดาในการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ ด้าน ความเข้าใจผิดนี้นำไปสู่ความผิดหวังและความล้มเหลว ความจริงนั้นเข้าถึงได้ง่ายกว่ามาก นั่นคือ ความสำเร็จไม่ได้เรียกร้องให้คุณกลายเป็นคนที่มีวินัยในทุกสิ่ง แต่เป็นการพัฒนาพฤติกรรมที่ถูกต้องในสิ่งที่สำคัญที่สุดต่างหาก
ลองพิจารณาเรื่องราวที่น่าทึ่งของนักว่ายน้ำโอลิมปิก ไมเคิล เฟลป์ส ในวัยเด็ก เฟลป์สได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) ครูอนุบาลของเขาบอกกับแม่ของเขาว่า “ไมเคิลอยู่นิ่งไม่ได้ ไมเคิลเงียบไม่ได้… เขาไม่มีพรสวรรค์ ลูกชายของคุณจะไม่มีวันจดจ่อกับอะไรได้เลย” แต่คนคนเดียวกันนี้กลับกลายเป็นนักกีฬาโอลิมปิกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยเหรียญรางวัล 22 เหรียญได้อย่างไร เฟลป์สไม่ได้กลายเป็นคนที่มีวินัยอย่างสากลในทุกด้านของชีวิต แต่เขากลับทุ่มเทพลังงานให้กับวินัยเฉพาะอย่างหนึ่ง นั่นคือ การว่ายน้ำทุกวัน ซึ่งพัฒนาไปสู่นิสัยที่ทรงพลัง จากอายุ 14 ปีจนถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ปักกิ่ง เขาฝึกซ้อมเจ็ดวันต่อสัปดาห์ 365 วันต่อปี โดยมุ่งเน้นวินัยของเขาในสิ่งที่สำคัญที่สุด
ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญคือ นิสัยต้องการพลังงานในการรักษาน้อยกว่าการเริ่มต้นมาก งานวิจัยจาก University College London เผยว่าโดยเฉลี่ยแล้วต้องใช้เวลา 66 วันเพื่อให้พฤติกรรมใหม่กลายเป็นอัตโนมัติ ไม่ใช่ 21 วันที่มักอ้างถึงในวรรณกรรมช่วยเหลือตนเอง ในช่วงการก่อตัวนี้ คุณต้องมีวินัย แต่เมื่อนิสัยนั้นหยั่งรากลึกแล้ว การรักษามันไว้ก็จะง่ายขึ้นอย่างมาก สิ่งที่ยากจะกลายเป็นเรื่องปกติ และเรื่องปกติจะทำให้สิ่งที่ยากกลายเป็นเรื่องง่าย
ในการสร้างความสำเร็จด้วยวินัย ให้ทำตามแนวทางนี้: ขั้นแรก ระบุหนึ่งนิสัยที่จะสร้างความแตกต่างมากที่สุดในการบรรลุเป้าหมายของคุณ มุ่งเน้นไปที่นิสัยนี้แต่เพียงอย่างเดียว แทนที่จะพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่างพร้อมกัน งานวิจัยยืนยันว่าการพยายามพัฒนานิสัยหลายอย่างพร้อมกันเกือบจะนำไปสู่ความล้มเหลวเสมอ ประการที่สอง ใช้วินัยให้เพียงพอเพื่อสร้างนิสัยเดียวนี้ มุ่งมั่นกับกรอบเวลาเฉลี่ย 66 วันที่จำเป็นสำหรับการสร้างนิสัย โดยเข้าใจว่าบางนิสัยอาจใช้เวลานานกว่านั้นขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของมัน
ความสวยงามของแนวทางนี้คือ ความสำเร็จด้วยหนึ่งนิสัยจะสร้างผลกระทบเชิงบวกแบบระลอกคลื่น นักวิจัยชาวออสเตรเลีย เมแกน โอเอเตน และเคน เฉิง ค้นพบว่าผู้คนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างนิสัยเชิงบวกรายงานว่ามีการปรับปรุงในหลายด้านของชีวิต ตั้งแต่การเลือกรับประทานอาหารที่ดีขึ้น ไปจนถึงการลดการใช้จ่ายตามอำเภอใจ และแม้แต่จานสกปรกน้อยลง “ปรากฏการณ์รัศมี” นี้เกิดขึ้นเพราะการฝึกฝนนิสัยที่สำคัญอย่างหนึ่งจะสร้างความมั่นใจและความสามารถในการประสบความสำเร็จในด้านอื่นๆ
โปรดจำไว้ว่าวินัยไม่ได้เกี่ยวกับความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นความก้าวหน้า คุณไม่จำเป็นต้องมีวินัยในทุกสิ่ง เพียงแค่ในไม่กี่สิ่งที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเท่านั้น ด้วยการมุ่งเน้นวินัยของคุณไปที่การพัฒนานิสัยที่ถูกต้องทีละอย่าง คุณจะสร้างรากฐานสำหรับผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย ซึ่งจะกลายเป็นสิ่งจูงใจตัวเองมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
บทที่ 4: เอาชนะความเชื่อผิดๆ ที่ฉุดรั้งคุณไว้
เส้นทางสู่ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายมักจะเบี่ยงเบนไป ไม่ใช่เพราะอุปสรรคภายนอก แต่เป็นเพราะความเข้าใจผิดภายใน ซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆ ที่เรามีเกี่ยวกับความสำเร็จ ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นอุปสรรคที่มองไม่เห็น จำกัดศักยภาพของเรา และป้องกันไม่ให้เราบรรลุสิ่งที่สำคัญจริงๆ ด้วยการตระหนักและเอาชนะความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ เราสามารถเคลียร์เส้นทางไปสู่ความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมได้
หนึ่งในความเชื่อผิดๆ ที่แพร่หลายมากที่สุดคือความเชื่อในการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) ในปี 2009 ศาสตราจารย์ Clifford Nass แห่ง Stanford University ได้ทำการศึกษาเพื่อประเมินว่าผู้ที่ทำงานหลายอย่างพร้อมกันนั้นมีประสิทธิภาพจริงเพียงใด ผลลัพธ์ที่ได้น่าตกใจ ผู้ที่ทำงานหลายอย่างพร้อมกันเป็นประจำ “แย่ในทุกสิ่งทุกอย่าง” แม้จะมีความมั่นใจในความสามารถของตนเอง พวกเขากลับทำได้แย่กว่าในทุกด้านเมื่อเทียบกับผู้ที่จดจ่อกับงานทีละงาน วิทยาศาสตร์เป็นที่ชัดเจนว่าสมองของเราไม่สามารถจดจ่อกับงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นการทำงานหลายอย่างพร้อมกันนั้น แท้จริงแล้วคือการสลับงาน (Task-switching) ซึ่งลดประสิทธิภาพลงถึง 40% และเพิ่มข้อผิดพลาดอย่างมีนัยสำคัญ
ความเชื่อผิดๆ ที่อันตรายอีกอย่างหนึ่งคือความเชื่อในความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว (Work-life balance) ว่าเป็นสภาวะที่สามารถบรรลุได้ คำว่า “สมดุล” บ่งบอกถึงการกระจายเวลาและพลังงานอย่างเท่าเทียมกันในทุกด้านของชีวิต ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้และไม่ได้ผล ลองพิจารณาเรื่องราวของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งซึ่งเกือบจะหมดไฟเมื่อพยายามรักษาสมดุลที่สมบูรณ์แบบ จุดเปลี่ยนของเขาเกิดขึ้นเมื่อเขาเปลี่ยนจากการแสวงหาสมดุลเป็นการยอมรับการถ่วงดุล (Counterbalance) แทนที่จะพยายามให้ความสนใจกับทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเท่าเทียมกันพร้อมกัน เขาเรียนรู้ที่จะมีสติอย่างเต็มที่ในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานอย่างเข้มข้นในโครงการขนาดใหญ่ หรือการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่กับครอบครัวในช่วงเวลาที่กำหนด
ในการเอาชนะความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ ให้เริ่มต้นด้วยการยอมรับว่าผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายต้องอาศัยการจดจ่อที่เหนือกว่า นี่หมายถึงการยอมรับว่าบางด้านจะขาดสมดุลชั่วคราวเมื่อคุณกำลังทำตามเป้าหมายที่สำคัญ แทนที่จะต่อสู้กับความเป็นจริงนี้ ให้เรียนรู้ที่จะถ่วงดุล โดยการออกจากสมดุลในชีวิตการทำงานของคุณอย่างตั้งใจในช่วงเวลาที่กำหนด ในขณะที่มั่นใจว่าชีวิตส่วนตัวของคุณได้รับการใส่ใจอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาที่กำหนด
นำแนวทางนี้ไปใช้โดยการจัดสรรเวลาให้กับสิ่งที่คุณให้ความสำคัญส่วนตัวด้วยความมุ่งมั่นเช่นเดียวกับสิ่งที่คุณให้ความสำคัญด้านอาชีพ กำหนดช่วงเวลาปกติสำหรับครอบครัว สุขภาพ และการพักผ่อน โดยปฏิบัติต่อการนัดหมายเหล่านี้ว่าเป็นการนัดหมายที่ไม่สามารถยกเลิกได้ เมื่อทำงาน จงมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ เมื่ออยู่กับคนที่คุณรัก จงมีสติอย่างเต็มที่ แนวทางการถ่วงดุลนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีสิ่งสำคัญใดถูกละเลยในระยะยาว แม้ว่าคุณจะทุ่มเทพลังงานให้กับ “ONE Thing” ในปัจจุบันของคุณอย่างไม่สมส่วนก็ตาม
โปรดจำไว้ว่าเส้นทางสู่ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายไม่ได้เกี่ยวกับการทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีพอ แต่มันเกี่ยวกับการทำเพียงไม่กี่สิ่งให้ดีเป็นพิเศษ ด้วยการปฏิเสธความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันและความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ คุณจะปลดปล่อยตัวเองให้จดจ่อกับสิ่งที่สำคัญจริงๆ ซึ่งเป็นการสร้างรากฐานสำหรับทั้งความสำเร็จในอาชีพการงานและความเติมเต็มส่วนตัว
บทที่ 5: ควบคุมพลังงานของคุณเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
พลังงาน ไม่ใช่เวลา คือสกุลเงินพื้นฐานของประสิทธิภาพสูง คุณสามารถมีเวลาทั้งหมดในโลกได้ แต่หากไม่มีพลังงานเพียงพอ ประสิทธิภาพการทำงานของคุณก็จะลดลงอย่างมาก ดังนั้นการทำความเข้าใจวิธีการจัดการและเพิ่มพลังงานส่วนบุคคลของคุณให้สูงสุดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการบรรลุผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายด้วย “ONE Thing” ของคุณ
เรื่องราวของผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จสูงคนหนึ่งแสดงให้เห็นถึงหลักการนี้อย่างทรงพลัง แม้ว่าจะมีไหวพริบเชิงกลยุทธ์ เขากลับพบว่าตัวเองกำลังดิ้นรนกับประสิทธิภาพที่ลดลงและความเหนื่อยล้าเรื้อรัง การตรวจทางการแพทย์ไม่พบความผิดปกติทางร่างกาย แต่ประสิทธิภาพการทำงานของเขายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อทำงานร่วมกับโค้ชด้านประสิทธิภาพ เขาพบว่าเขาได้ละเมิดกฎพื้นฐานของประสิทธิภาพการทำงาน นั่นคือ พลังใจไม่ได้มีอยู่เสมอไป เหมือนกับแบตเตอรี่ พลังใจจะค่อยๆ ลดลงตลอดทั้งวัน เมื่อมีการตัดสินใจทุกครั้งและมีการต้านทานแรงกระตุ้นทุกครั้ง ด้วยการจัดตารางเวลาทำงานที่ท้าทายที่สุดของเขาในตอนบ่าย เมื่อพลังใจของเขาต่ำที่สุด เขาจึงกำลังตั้งตัวเองให้ล้มเหลว
งานวิจัยยืนยันข้อจำกัดนี้ ในการศึกษาที่เปิดเผยที่ Stanford University ผู้เข้าร่วมถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งท่องจำตัวเลขสองหลัก และอีกกลุ่มหนึ่งท่องจำตัวเลขเจ็ดหลัก หลังจากนั้น ทั้งสองกลุ่มได้รับตัวเลือกของว่างระหว่างเค้กช็อกโกแลตหรือสลัดผลไม้ น่าทึ่งที่ผู้ที่ต้องจำตัวเลขที่ยาวกว่ามีแนวโน้มที่จะเลือกเค้กเกือบสองเท่า ภาระทางปัญญาเพิ่มเติมเล็กน้อยนี้เพียงพอที่จะทำให้พลังใจของพวกเขาลดลง และนำไปสู่การตัดสินใจที่แย่ลง
ในการควบคุมพลังงานของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ใช้กลยุทธ์เหล่านี้: ขั้นแรก จัดตารางเวลา “ONE Thing” ของคุณในช่วงเวลาที่คุณมีพลังงานสูงสุด ซึ่งโดยทั่วไปคือช่วงเช้าตรู่เมื่อพลังใจของคุณแข็งแกร่งที่สุด เก็บงานที่ไม่สำคัญไว้ทีหลังเมื่อพลังงานของคุณลดลงตามธรรมชาติ ประการที่สอง เติมเชื้อเพลิงให้สมองของคุณอย่างเหมาะสม สมองใช้พลังงาน 20% ของร่างกายของคุณ แม้ว่าจะมีน้ำหนักเพียง 2% ของร่างกายก็ตาม กินอาหารที่ให้พลังงานอย่างสม่ำเสมอ เช่น คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนและโปรตีน แทนที่จะเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยวที่ทำให้พลังงานพุ่งสูงขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็ว
พัฒน แผนการจัดการพลังงานที่ครอบคลุมซึ่งครอบคลุมทุกมิติความเป็นอยู่ที่ดีของคุณ เริ่มต้นแต่ละวันด้วยการปฏิบัติที่สร้างพลังงานทางจิตวิญญาณ เช่น การทำสมาธิหรือการสวดมนต์ จัดลำดับความสำคัญของพลังงานทางร่างกายผ่านโภชนาการที่เหมาะสม การออกกำลังกายเป็นประจำ และการนอนหลับให้เพียงพอ โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ปลูกฝังพลังงานทางอารมณ์ด้วยการใช้เวลาที่มีคุณภาพกับคนที่คุณรัก และจัดการพลังงานทางจิตของคุณด้วยการวางแผนวันของคุณด้วยลำดับความสำคัญที่ชัดเจน
โปรดจำไว้ว่าการจัดการพลังงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่คุณจัดสรรไว้ สร้างสภาพแวดล้อมที่ปราศจากสิ่งรบกวน โดยการปิดการแจ้งเตือน ปิดประตู และเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อม เมื่อพลังงานของคุณลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้พักสั้นๆ เพื่อชาร์จพลังงาน แทนที่จะฝืนทำต่อไปโดยได้ผลตอบแทนที่ลดลง
ด้วยการปฏิบัติต่อพลังงานของคุณเสมือนเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของคุณ และจัดวางให้สอดคล้องกับสิ่งที่คุณให้ความสำคัญอย่างมีกลยุทธ์ คุณจะประสบความสำเร็จมากขึ้นในเวลาที่น้อยลง และรักษาประสิทธิภาพของคุณไว้ได้ในระยะยาว
บทที่ 6: สร้างระบบเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของคุณ
ระบบคือสะพานเชื่อมระหว่างความตั้งใจและความสำเร็จ พวกเขาเปลี่ยน “ONE Thing” ของคุณจากความปรารถนาให้เป็นการกระทำที่สม่ำเสมอ ในขณะที่เป้าหมายกำหนดจุดหมายปลายทางของคุณ ระบบสร้างเส้นทางที่จะพาคุณไปที่นั่น หากไม่มีระบบที่มีประสิทธิภาพ แม้แต่เป้าหมายที่น่าดึงดูดใจที่สุดก็ยังคงเป็นความฝันที่ไม่เป็นจริง
พลังของระบบแสดงให้เห็นได้จากเรื่องราวของ Jerry Seinfeld ผู้ซึ่งพัฒนาระบบที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่งสำหรับ “ONE Thing” ของเขา นั่นคือ การเขียนเรื่องตลก เมื่อนักแสดงตลกหนุ่มถามถึงเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของเขา Seinfeld ได้แบ่งปันวิธีการ “อย่าทำลายโซ่” ของเขา เขาแขวนปฏิทินติดผนังขนาดใหญ่ และทำเครื่องหมายกากบาทสีแดงในแต่ละวันที่เขาเขียนเรื่องตลก “หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน คุณจะมีโซ่” Seinfeld อธิบาย “เพียงแค่ทำต่อไป และโซ่จะยาวขึ้นทุกวัน งานเดียวของคุณคืออย่าทำลายโซ่” ระบบภาพนี้สร้างความรับผิดชอบ โมเมนตัม และแรงจูงใจที่ช่วยให้ Seinfeld กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงตลกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ระบบพื้นฐานที่สุดสำหรับการบรรลุ “ONE Thing” ของคุณคือการจัดสรรเวลา ซึ่งเป็นการกำหนดการนัดหมายที่ไม่สามารถยกเลิกได้กับตัวเองเพื่อทำงานในสิ่งที่คุณให้ความสำคัญสูงสุด การจัดสรรเวลาที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยสามระบบสนับสนุน: ระบบสำหรับปกป้องช่วงเวลาที่คุณจัดสรรไว้จากสิ่งรบกวน ระบบสำหรับติดตามความก้าวหน้าของคุณ และระบบสำหรับความรับผิดชอบ
ในการสร้างระบบป้องกันสิ่งรบกวนของคุณ ให้ระบุการขัดจังหวะที่พบบ่อยที่สุดของคุณ และพัฒนารูปแบบการจัดการเฉพาะสำหรับแต่ละรูปแบบ ซึ่งอาจรวมถึงการตั้งค่าการตอบกลับอัตโนมัติสำหรับอีเมล การกำหนดสัญญาณ “ห้ามรบกวน” สำหรับเพื่อนร่วมงาน หรือการสร้างพื้นที่ทำงานเฉพาะที่ลดสิ่งรบกวนจากสภาพแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด ผู้เชี่ยวชาญที่ประสบความสำเร็จหลายคนใช้วิธีที่เรียกว่า “วิธีหลบภัย” คือ การค้นหาหรือสร้างพื้นที่ทางกายภาพที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการทำงานที่มุ่งเน้นไปที่ “ONE Thing” ของพวกเขา
ระบบติดตามความคืบหน้าของคุณควรทำให้ความก้าวหน้าของคุณมองเห็นได้และวัดผลได้ เช่นเดียวกับปฏิทินของ Seinfeld การแสดงภาพความสม่ำเสมอของคุณจะสร้างแรงผลักดันที่ทรงพลัง ไม่ว่าคุณจะใช้ปฏิทินจริง แอปติดตามดิจิทัล หรือบันทึกประจำวันอย่างง่าย กุญแจสำคัญคือการบันทึกการกระทำในแต่ละวันของคุณเพื่อมุ่งสู่ “ONE Thing” ของคุณ สิ่งนี้สร้างสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “Completion bias” คือ ความพึงพอใจในการบันทึกความก้าวหน้ากระตุ้นให้เกิดการกระทำต่อเนื่อง
ที่สำคัญที่สุดคือการสร้างระบบความรับผิดชอบ งานวิจัยโดย Dr. Gail Matthews ที่ Dominican University พบว่าผู้ที่เขียนเป้าหมายของตนเอง แบ่งปันเป้าหมายเหล่านั้นกับผู้อื่น และให้รายงานความคืบหน้ารายสัปดาห์ มีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นมากกว่าผู้ที่เพียงแค่คิดถึงเป้าหมายเหล่านั้นถึง 76.7% ค้นหาพันธมิตรด้านความรับผิดชอบ เช่น ที่ปรึกษา โค้ช หรือเพื่อนร่วมงาน ที่จะยึดมั่นในพันธสัญญาของคุณ และให้ข้อเสนอแนะที่เป็นกลางเกี่ยวกับความคืบหน้าของคุณ
โปรดจำไว้ว่าระบบทำงานผ่านความสม่ำเสมอ ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ เมื่อคุณพลาดไปหนึ่งวันหรือพบอุปสรรคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระบบของคุณควรช่วยให้คุณกลับมาติดตามได้อย่างรวดเร็ว แทนที่จะละทิ้งความพยายามของคุณไปโดยสิ้นเชิง เป้าหมายคือความก้าวหน้าเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ใช่การดำเนินการที่ไร้ที่ติ
ด้วยการสร้างระบบที่แข็งแกร่งรอบ “ONE Thing” ของคุณ คุณจะเปลี่ยนการกระทำที่ได้รับแรงบันดาลใจเป็นครั้งคราวให้เป็นความก้าวหน้าที่สม่ำเสมอ ทำให้ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายไม่เพียงแค่เป็นไปได้ แต่ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย
บทที่ 7: จดจ่ออยู่กับสิ่งที่สำคัญที่สุด
ในโลกที่เชื่อมต่อกันอย่างล้นเหลือ การรักษาความจดจ่อในสิ่งที่สำคัญจริงๆ ได้กลายเป็นสิ่งที่ท้าทายมากขึ้น และมีค่ามากขึ้น การมีความสามารถในการจดจ่อท่ามกลางสิ่งรบกวนอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับการบรรลุผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายในทุกด้านของชีวิต อย่างไรก็ตาม “ขโมย” ทั่วไปสี่อย่างมักจะขโมยความจดจ่อของเรา และทำให้ความคืบหน้าของเราไปสู่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเราหยุดชะงัก
ขโมยตัวแรกคือการไม่สามารถพูดว่า “ไม่” ได้ เมื่อ Steve Jobs ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple กลับมายังบริษัทที่กำลังดิ้นรนในปี 1997 เขาได้ตัดสายผลิตภัณฑ์ของพวกเขาจาก 350 รายการเหลือเพียง 10 รายการ “คนส่วนใหญ่คิดว่าการจดจ่อหมายถึงการพูดว่าใช่กับสิ่งที่คุณต้องจดจ่อ” Jobs อธิบาย “แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่มันหมายถึงเลย มันหมายถึงการพูดว่าไม่กับความคิดดีๆ อื่นๆ อีกร้อยความคิด” การจัดลำดับความสำคัญอย่างเด็ดเดี่ยวนี้ช่วย Apple และเปลี่ยนให้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก บทเรียนที่ได้คือ ทุกครั้งที่คุณพูดว่าใช่กับสิ่งที่ไม่สำคัญ ก็เท่ากับการพูดว่าไม่กับสิ่งที่สำคัญกว่าโดยปริยาย
ขโมยความจดจ่อตัวที่สองคือความกลัวความวุ่นวาย เมื่อเรามุ่งมั่นกับ “ONE Thing” ของเรา ด้านอื่นๆ จะตกอยู่ในความไม่เป็นระเบียบชั่วคราวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เอกสารกองพะเนิน อีเมลไม่ได้รับการตอบ และงานที่ไม่สำคัญจะยังคงไม่เสร็จสิ้น ความวุ่นวายที่เห็นได้ชัดนี้สร้างความวิตกกังวลที่ดึงเราออกจากการจัดลำดับความสำคัญของเรา Francis Ford Coppola ผู้สร้างภาพยนตร์กล่าวถึงความเป็นจริงนี้โดยตรงว่า “สิ่งใดก็ตามที่คุณสร้างในขนาดใหญ่หรือด้วยความหลงใหลอย่างแรงกล้า จะเชิญชวนให้เกิดความวุ่นวาย” แทนที่จะต่อสู้กับผลกระทบที่เป็นธรรมชาติของการทำงานที่มุ่งเน้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะยอมรับมันว่าเป็นราคาของความสำเร็จที่เหนือความคาดหมาย
นิสัยด้านสุขภาพที่ไม่ดีถือเป็นขโมยตัวที่สาม สภาพร่างกายของเราส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการจดจ่อและทำงานในระดับสูง การศึกษาที่เปิดเผยติดตามการตัดสินใจของผู้พิพากษาตลอดทั้งวัน และพบว่าผู้พิพากษามีแนวโน้มที่จะให้ทัณฑ์บนในตอนเช้าหรือทันทีหลังจากการพักรับประทานอาหารมากกว่าในภายหลังของวัน เมื่อพลังงานทางจิตของพวกเขาลดลง สภาพร่างกายของคุณ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการนอนหลับ โภชนาการ และการออกกำลังกาย ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความสามารถในการรับรู้และคุณภาพการตัดสินใจของคุณ
สภาพแวดล้อมที่ไม่สนับสนุนคือขโมยตัวที่สี่ งานวิจัยโดย Dr. Nicholas Christakis แห่ง Harvard และ Dr. James Fowler แห่ง UC San Diego แสดงให้เห็นว่าเครือข่ายสังคมของเรามีอิทธิพลอย่างมากต่อพฤติกรรมและความสำเร็จของเรา การศึกษาของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าหากเพื่อนสนิทของคุณกลายเป็นคนอ้วน คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้นถึง 57% ในทำนองเดียวกัน สภาพแวดล้อมทางกายภาพของคุณ ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือบ่อนทำลายความจดจ่อของคุณ ผู้คนที่คุณใช้เวลาร่วมกับและพื้นที่ที่คุณอาศัยอยู่ ควรสอดคล้องกับเป้าหมายและลำดับความสำคัญของคุณ
ในการเอาชนะขโมยเหล่านี้ ให้ใช้กลยุทธ์เหล่านี้: ขั้นแรก พัฒนาการตอบสนองเริ่มต้นว่า “ไม่” ต่อคำขอที่ไม่สอดคล้องกับ “ONE Thing” ของคุณ โดยเสนอทางเลือกอื่นเมื่อเหมาะสม ประการที่สอง ทำใจให้สงบกับความวุ่นวายชั่วคราวในด้านที่ไม่สำคัญ โดยเชื่อมั่นว่าการทำงานที่มุ่งเน้นของคุณจะสร้างระเบียบที่ยิ่งใหญ่กว่าในท้ายที่สุด ประการที่สาม จัดลำดับความสำคัญของการนอนหลับ โภชนาการ และการออกกำลังกายให้เป็นรากฐานที่ไม่สามารถต่อรองได้เพื่อการจดจ่อที่ยั่งยืน สุดท้าย ออกแบบสภาพแวดล้อมของคุณอย่างตั้งใจ ทั้งทางสังคมและทางกายภาพ เพื่อสนับสนุนการทำงานที่สำคัญที่สุดของคุณ
โปรดจำไว้ว่าการจดจ่อไม่ได้เกี่ยวกับความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นความเพียร เมื่อสิ่งรบกวนเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ค่อยๆ นำความสนใจของคุณกลับมาสู่สิ่งที่สำคัญที่สุด ด้วยการฝึกฝน ความสามารถในการจดจ่ออย่างต่อเนื่องของคุณจะเพิ่มขึ้น ทำให้คุณสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย ซึ่งมาจากการทุ่มเทความพยายามอย่างเข้มข้นให้กับ “ONE Thing” ของคุณเท่านั้น
สรุป
ตลอดหน้าต่างๆ เหล่านี้ เราได้สำรวจพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของการจดจ่อกับ “ONE Thing” ในแต่ละครั้ง เส้นทางสู่ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายไม่ได้เกี่ยวกับการทำสิ่งต่างๆ ให้มากขึ้น แต่มันเกี่ยวกับการทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ เมื่อคุณระบุสิ่งที่สำคัญที่สุดและให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับมัน ทุกสิ่งทุกอย่างจะง่ายขึ้นหรือไม่จำเป็นเลย ดังที่ภูมิปัญญาโบราณเตือนเราว่า “คนที่ไล่ตามกระต่ายสองตัวจะไม่จับกระต่ายได้สักตัว” ด้วยการเลือกที่จะเจาะลึกแทนที่จะทำในวงกว้าง คุณจะควบคุมพลังของผลกระทบแบบโดมิโน ซึ่งความสำเร็จจะสร้างความสำเร็จในความก้าวหน้าทางเรขาคณิต
การเดินทางของคุณเริ่มต้นด้วยคำถามที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง: “อะไรคือสิ่งเดียวที่ฉันสามารถทำได้ ซึ่งเมื่อทำแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะง่ายขึ้นหรือไม่จำเป็นเลย” ถามคำถามนี้ทุกวัน ปกป้องเวลาสำหรับคำตอบของคุณ และดูว่าชีวิตของคุณเปลี่ยนไปอย่างไร เริ่มต้นวันนี้ ระบุ “ONE Thing” ของคุณในเพียงหนึ่งด้านของชีวิต จัดสรรเวลาให้กับมันในวันพรุ่งนี้ และก้าวไปสู่ก้าวแรกสู่ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายที่คุณสมควรได้รับ โปรดจำไว้ว่าความสำเร็จไม่ได้เกี่ยวกับการทำทุกสิ่งทุกอย่าง แต่มันเกี่ยวกับการทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยความจดจ่อที่เหนือชั้น